หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
DBS
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
มีโอกาส Sideways ก่อนหยุดยาว
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : -ไม่มี-
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ -3.04 จุด ปิดที่ 1659.09 จุด มูลค่าการซื้อขายซึมลงที่ 40.7 พันล้านบาท ดัชนีบ้านเราสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคแถบนี้ มีลักษณะ Sideways แม้มีข่าวบวกคือ รายงานเฟดไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สูงขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบก็ปรับขึ้นอีก แต่มีแรงขายทำกำไร ลดความเสี่ยงกอ่ นหยุดยาวสงกรานต์ ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ พอร์ตโบรกเกอร์ 0.8 พันลบ. ต่างชาติ 0.07 พันล้านบาท ผู้ขายสุทธิเป็น สถาบัน 0.81 พันลบ. นักลงทุนทั่วไป 0.06พันล้านบาท ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิทยอยลดลงเป็น 7.9 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ระยะสั้นคาด SET มีโอกาส Sideways หรือขายลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาวสงกรานต์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศไม่สดใสนัก ทั้งดาวโจนส์และน้ำมันกลับมาปรับลงกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตามคำเตือนของ IMF และมีการปรับ GDP โลกลดลง ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านออกมา Mix
# แรงพยุงภาพใหญ่คือ เจรจาการค้าคืบหน้า เฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน และเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q62 ประเดิมด้วย กลุ่มธนาคารสัปดาห์หน้า เม็ดเงินเข้าจากMSCI และกระทรวงการคลังเตรียมออกมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย สำหรับปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การเมืองไทย ในช่วงวันหยุด จะมีความเคลื่อนไหวไหม ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ BREXIT ล่าสุดยืดอายุ และการเก็บภาษีนำเข้ายุโรปสู่สหรัฐเพิ่มขึ้น
# กลยุทธ์ คือ เก็งกำไรรอบสั้นแนวต้านเป็น 1670-1680 จุด แต่หากกลับมีแรงขาย แนวรับเป็น 1620,1610 จุด ไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนสูง หากดัชนีต่ำกว่า 1650จุด จะเป็นจุดตัดขาดทุนในระยะสั้น ด้านการซื้อลงทุนระยะกลาง ทยอยสะสม โดยมีดัชนีฯเป้าหมายทางพื้นฐานปี 2562 ยังเป็น 1750 จุด (+0.9 SD ที่ P/E 16.7 เท่า)ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของตลาดฯปี 62 ที่ +8% y-o-y แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี หุ้น Top Pick ในงวด 2Q62 คือ AMATA,BBL,ERW,KKP,STEC
# Stock Pick Today : STEC พรรคภูมิใจไทย ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งดีเกินคาด เป็นจิตวิทยาทางบวก ล่าสุด STEC ใช้เงิน 4.32 พันลบ. เข้าซื้อหุ้นหมอชิตแลนด์ จาก Uนำที่ดิน 11 ไร่ พัฒนาโครงการ หมอซิต คอมเพล็กซ์ วงเงินลงทุน 7.79 พันลบ. เน้นสำนักงานให้เช่า ข้อดีคือ STEC มีฐานะเป็นเงินสดสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท จึงใช้เงินกู้น้อยและมีกลยุทธ์ต้องการรายได้ค่าเช่ามาช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจหลักคือรับเหมาก่อสร้างที่มีความผันผวนสูง คาดว่าโครงการนี้มีโอกาสจะสำเร็จ เพราะในอนาคตทำเลจตุจักรจะเป็นฮับใหญ่ของรถไฟฟ้า เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าหลายสาย แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 31.00 บาท
 
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators ยังมีสถานะเป็นบวกเล็กๆ {แม้“ปิดลบ”แต่ก็เล็กน้อย และยังยืนเหนือ“SMA10วัน”ได้(แต่ยังถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของSET50วันนี้“แกว่ง”แบบเริ่มให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก” จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1110 – 1120 (หรือ 1130) จุด {แนวขาย “ต่ำกว่า 1100” (แนวรับย่อย “1090 หรือ 1080 – 1070”) จุด)}
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TASCO,ESSO,BJC,BLA หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GOLD,MEGA,HMPRO,BBL,BGRIM,GFPT,KBANK,SEAFCO,CPN,BCPG,GLOBAL,VNT,PTL หุ้นที่หลุด List BPP ส่วนหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ THANI 
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
 
 
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : สื่อสาร และทีวีดิจตัล
Flash Note : BTS (ถือ -ราคาพื้นฐาน11.07 )
QH(ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 3.34)
AMATA (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 26.00)
In The News : GPSC(ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 70.00)
PTT (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 55.00)
Turnover List Watch : คาด PIMO และ PIMO-W1 ติด Cash Balance 6 สัปดาห์
 
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ: กลับมากังวลเศรษกิจโลกชะลอ ตามคำเตือนของ IMF
# มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 3.3% จากระดับ 3.5% พร้อมกับเตือนถึงความเสี่ยงที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง และผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า
 
+ สหรัฐ : ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกออกมาลดลง
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ196,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2512 และปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4
 
- ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดาวโจนส์ปรับลง วิตกเศรษฐกิจโลกชะลอ ติดตามผลประกอบการ
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,143.05 จุด ลดลง 14.11 จุด หรือ -0.05% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่7,947.36 จุด ลดลง 16.88 จุด หรือ -0.21% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.11 จุด หรือ +0.00%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 เม.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ของสหรัฐจะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค
 
- ภาวะตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับลด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ร่วงลง 1.03 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 63.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 90 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 70.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 เม.ย.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล(IEA) เตือนว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันดิบ พร้อมระบุว่า ความต้องการน้ำมันของประเทศในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) อาจลดลงในไตรมาสแรกปีนี้
 
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปรับลงแรง หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 20.60 ดอลลาร์ หรือ 1.57% ปิดที่1,293.30 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเทยังขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ Brexit
 
• นักลงทุนติดตามผลประกอบการและตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศภายในสัปดาห์นี้
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมี.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ โรงไฟฟ้า: ความต้องการใช้ไฟฟ้าปีนี้พีคช่วงเดือน เม.ย.-ต้นพ.ค.62
# กระทรวงพลังงาน คาดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ (พีค) สำหรับช่วงฤดูร้อนในปีนี้อยู่ที่ระดับ 35,889 เมกะวัตต์ (MW) โดยจะเกิดขึ้นระหว่างปลายเดือน เม.ย.-ต้นเดือน พ.ค.62 เพิ่มขึ้น 4.6% จากพีคปีก่อนที่ระดับ 34,317 เมกะวัตต์
 
+ เก็งกำไรหุ้นกลุ่มธนาคาร ก่อนประกาศจริงสัปดาห์หน้า คาด BBL, KKP เด่น
# คาดกำไรสุทธิ 1Q62F รวมไว้ที่ 42.2 พันล้านบาท (-11.4%YoY, +14.1%QoQ)
# ปัจจัยสำคัญใน 1Q62F คือ สินเชื่อเติบโต (+), NIM แคบลง (-), รายได้ค่าธรรมเนียมชะลอลง (-), รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง (-) และค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น (-)
# BBL และ KKP เป็น 2 ธนาคารที่มีกำไรสุทธิ 1Q62F เติบโตทั้ง YoY และ QoQ จัดลำดับให้เป็นหุ้น Top Picks
 
+/- การเก็งกำไรหุ้น MSCI ดักหน้า ก่อนมีผล 28 พ.ค.62
# (+) MSCI: เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทยจาก 2.3% สู่ระดับ 2.8% มีผลตั้งแต่ 28 พ.ค.นี้ จับตาเงินเข้า 7.62 หมื่นล้านบาท
# (+) ส่วน SCC และ BDMS ถูกคาดหมายเงินเข้ามากสุดที่ 7.5-8.0 พันล้านบาท และ 5.3-5.7 พันล้านบาท จากการถูกเพิ่มน้ำหนักลงทุน ขณะที่หุ้นใหม่ที่ได้เข้าคำนวณคือ INTUCH, RATCH, CENTEL และ DTAC
# (+)SCC,BDMS,CPN,BBLF,EGCO,LH,KBANK,BANPU,PTT,TU,ADVANC,CPF,HMPRO,MINT,EA,BH,BTS,GULF,TRUE, IRPC เป็น 20 หลักทรัพย์ที่ได้เพิ่มน้ำหนัก
# (+) หุ้น MSCI ขนาดกลาง-เล็ก สำหรับที่ได้รับเข้าคำนวณในรอบนี้คือ BLA, AEONTS, LHFG, TASCO, EASTW,COLและ TIP
# (-) ด้าน SCB ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ถูกลดน้ำหนักในครั้งนี้แล้ว ปรากฏว่าหุ้น ขนาดกลาง-เล็ก ที่ถูกลดน้ำหนักด้วยคือKKP, TISCO, TCAP
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!