หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
logo ace
บล.เออีซี : Daily Focus
 
AECS Daily Focus
--------------
Market Outlook
•    วันนี้เราคาด SET Index มีโอกาสปรับตัวลงต่อ หลังสถานการณ์สงครามการค้ากลับมาตึงเครียด   อีกครั้ง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI วานนี้ปรับลงแรงกว่า 7.9% DoDคาดเป็นปัจจัยกดดันตลาดวันนี้ประเมินแนวรับถัดไปที่  1,675 จุด 
•    Market Factor
•    (-) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย. 2562 อย่างไรก็ดีจะมีการเจรจาการค้ากันอีกครั้งในช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่กรุงวอชิงตันประเทศสหรัฐฯ
•    (-) สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ Brent วานนี้ปรับลง 7.9%DoD และ 6.9%DoD หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ทำให้ตลาดกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกลดลง
•    (-) กระทรวงพาณิชย์ เผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค. อยู่ที่ 103.00 ขยายตัว 0.98%YoY (ตลาดคาดราว 1%) และขยายตัว 0.06%MoM ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค.ขยายตัวเฉลี่ย 0.92% ผลจากราคาสินค้ากลุ่มอาหารสดปรับสูงขึ้นจากผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน ขณะที่ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (CORE CPI) เดือนก.ค. อยู่ที่ 102.52 ขยายตัว 0.41%YoY แต่ชะลอตัวลง 0.03%MoM ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานช่วง 7 เดือนแรกขยายตัวเฉลี่ย 0.55% (สำนักข่าวอินโฟเควสท์)
•    (-) Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.14 บาท ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียง 104.26บาท หรือลดลง 9.45% Year To Date
•         Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1,716.98 ลบ.ส่งผลภาพWTD ต่างชาติขายสุทธิรวม 1,386.16 ลบ. 
•    Investment Strategy
•    สัปดาห์หน้าเราประเมินการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index มีโอกาสผันผวนในกรอบ 1,670-1,710 จุด หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์สร้าง Negative Surprise ด้วยการประกาศเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในวันที่ 1 ก.ย. กดดันตัวเลข ศก. ของสหรัฐฯ-จีน และคาดมีผลต่อมายัง ศก. ของประเทศที่อยู่ใน Supply Chain ให้มีแนวโน้มชะลอลงทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวกลับทำให้ตลาดเพิ่มความเชื่อมั่นว่า Fed มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้นมาก (Probที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้ เพิ่มเป็น 78.3% จากเพียง 42.5% ในวันก่อน) รวมทั้งยังกดดันให้จีนต้องออกนโยบายกระตุ้น ศก. เพิ่มขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าที่จะกลับมารุนแรงขึ้นอย่างไรก็ดีในช่วงสั้นเรายังแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง และคาดมีแรงขายในช่วงที่ตัวเลข ศก. ทั่วโลกอ่อนแอ และมาตรการกระตุ้น ศก. ใหม่ๆ ในต่างประเทศยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ และลงทุนในหุ้นหลักเพียง 2 กลุ่ม ดังนี้ 
•    หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นศก.ของรัฐฯ: จากภาวะ ศก.ที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนทำให้เรามองว่า ครม. ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการวานนี้มีโอกาสสูงที่จะเร่งออกนโยบายกระตุ้น ศก. ในระยะสั้นเพื่อพยุง ศก. เราจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวที่ยังมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว HoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขาและ Mini BigC ราว 200 สาขา), SEAFCO (ช่วง 2Q62 คาดโต5.4%YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อนเราปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท)  DCC (คาดปี 62 โตYoYหนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้องดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหารและถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขาพร้อมปรับ Business  Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่าเพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้รายได้แก่บริษัท นอกจากนี้ยังซื้อขายที่ PER15.2X ถูกกว่าทั้ง GLOBAL และ HMPRO) และ ROBINS (แม้ช่วง 2Q62 คาดกำไรหดทั้ง QoQ และ YoY หลังเผชิญ SSSG ที่คาดติดลบราว 0.5-1% แต่คาดราคาหุ้นปรับลงมาเพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าวแล้วและคาดกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะยังโต HoH และโต YoYหนุนด้วยช่วง 4Q62 เป็นช่วง High Season และมีการกลับมาเปิดของ 3 สาขาที่ปิดปรับปรุง)
•    กลุ่ม Defensive Stock: ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง2Q62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.) และ LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดราว 2-3 เท่าบวกกับมีกำไรจากการลงทุนในHMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง หนุนคาดผลการดำเนินทั้งปีโต YoY และคาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง 1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี)
 
 
 
    1-Aug-19    Change (pts.)    31-Jul-19
SET Index    1,699.75    -12.22    1,711.97
SET50 Index    1,124.54    -6.38    1,130.92
SET100 Index    2,486.96    -18.80    2,505.76
 
 
 
High    1,709.05    Gainers    354
Low    1,694.93    Unchanged    391
Value (Bt m)    54,654.98    Losers                           1,239 
Volume (*000)    18,146,659          
 
Market Valuation
SET Data    2018F    2019F    Long Term
Fwd PER (x)    16.5    15.1    15.1
EPS Growth (%)    13.9    9.3    3.0
EV/EBITDA (x)    11.1    10.2    9.8
FWD PBV (x)    1.9    1.8    1.7
Dividend Yield (%)    3.0    3.3    3.5
ROE    11.2    11.4    11.3
 
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt    1-Aug-19    WTD    MTD    YTD
Institution    (1,134.70)    (2,433.89)    (1,134.70)    (4,311.89)
Proprietary    (400.64)    (2,011.18)    (400.64)    18,136.31
Foreign     (1,716.98)    (1,386.16)    (1,716.98)    58,985.82
Individual    3,252.31    5,831.22    3,252.31    (72,810.24)
 
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
 
จิรภัทร  โบสุวรรณ (ID. 040051)    This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ตฤณ  สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364)    This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932)    This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ธีรยุทธ  ฤทธิเผ่าพันธุ์    ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์    Data Support / Secretary
 

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!