ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์ เศรษฐกิจ การลงทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ไอที-เทคโนฯ รถยนต์ ท่องเที่ยว ต่างประเทศ รวดเร็วสดใหม่ทุกวัน

`ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน`

หมวดหมู่: คลัง
วันที่สร้าง วันอังคาร, 05 สิงหาคม 2568 18:47
ฮิต: 1197

พิชัย ชุณหวชิรคำแถลงรัฐบาล `ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน`

     กระทรวงการคลัง ขอเรียนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ก้าวผ่านสถานการณ์สำคัญสองประการที่ท้าทายและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ เราเผชิญกับสถานการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ การนำเสนอข่าวปลอมที่ทำลายความไว้วางใจทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ที่สำคัญ รัฐบาลยึดมั่นในการเลือกใช้แนวทางสันติวิธีภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และตามหลักมนุษยธรรมมาโดยตลอด

      เราชาวไทยมีเอกลักษณ์ที่สืบทอดกันมา คือ ความเป็นคนที่รักสงบ อยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเข้าใจในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มีต่อกันและกัน แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่การสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ในทันที ทั้งทางการทหาร การข่าว และการต่างประเทศอย่างรอบด้าน และเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตย และชีวิตของประชาชนในชาติ และทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด ซึ่งขณะนี้เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนได้สิ้นสุดลงแล้วเบื้องต้น และได้เริ่มเข้าสู่การเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันผ่านการประชุม GBC ตามหลักสันติวิธี ซึ่งประเทศไทยของเราได้ยึดมั่นมาโดยตลอด

    รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัวทุก ๆ ครอบครัว และพี่น้องประชาชนทุกท่านในจังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งแม้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะประเมินเป็นมูลค่ามิได้ แต่รัฐบาลจะขอผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อชดเชยความสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และรายได้ของพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิต รวมรายละ 10,000,000 บาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รวมรายละ 8,000,000 บาท พร้อมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันข่าวปลอม ที่มุ่งหมายจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชน

      สถานการณ์สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ไทยเราต้องประสบกับมาตรการภาษีการค้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลขอยืนยันว่าได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบและต่อเนื่อง โดยยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ การที่สหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีการค้าของไทยที่ร้อยละ 19 จึงสะท้อนให้เห็นถึงความพยายาม และผลจากการทำงานอย่างใกล้ชิดของรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องทุกคน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้ไทยยังคงมีศักยภาพแข่งขันได้ในเวทีโลก และยังคงความได้เปรียบประเทศคู่แข่งขันในภูมิภาค ซึ่งอาจถือได้ว่า นี่คือโอกาสใหม่ของไทยในการเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก

      อย่างไรก็ดี รัฐบาลทราบดีว่า การเปลี่ยนแปลงกติกาและโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก ย่อมทำให้ทุกประเทศต้องมีการปรับตัว ดังนั้น รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการทางการเงิน ทั้งมาตรการ Soft loan มาตรการพักชำระหนี้ การส่งเสริมให้คนไทยใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และการตั้งงบประมาณเพื่อสนับสนุนและรองรับการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างความเข้มแข็งให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง

       บทเรียนจากเหตุการณ์ทั้งสองที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้พวกเราต่างได้เรียนรู้ว่า การจะก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีของพวกเราชาวไทยทุกคนเพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อน

     ขณะนี้ก็ถึงเวลาที่เราคนไทยทุกคนจะจับมือร่วมใจกัน มองตรงไปยังโอกาสและความท้าทายข้างหน้า เพื่อเริ่มก้าวเดินไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันอีกครั้ง นั่นคือ การสร้างประเทศไทยให้มีแต่ความสงบร่มเย็น และเพื่อประชาชนทุกคนได้อยู่ดีมีสุขโดยเร็ว

 พิชัย ชุณหวชิร

การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาทุนมนุษย์ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ระยะที่ 2

     นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (ข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ) ระยะที่ 2 ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 2 หน่วยรับงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน 18,488.3679 ล้านบาท เพื่อเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

     ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ในกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งจะเป็นการรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในปี 2568 และเป็นการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในระยะยาว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1. โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย

1.1 หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

1.2 วัตถุประสงค์: เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก ดึงดูดและรักษาการลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยการบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างมูลค่าเพิ่มถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาบุคลากร โดยในระยะสั้น สนับสนุนพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ และในระยะยาว สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากร และการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถ

1.3 กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

1.4 งบประมาณ: 10,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ

2. โครงการการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวในปี 2568

2.1 หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

2.2 วัตถุประสงค์: เพื่อให้เงินกู้ยืมที่เป็นค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา สำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า ซึ่งจะทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่พักการศึกษาหรือเลิกการศึกษาในปีการศึกษา 2568

2.3 กลุ่มเป้าหมาย: นักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า รวมจำนวน 139,481 ราย

2.4 งบประมาณ: 8,488.3679 ล้านบาท

    ท้ายนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 เป็นไปตามหลักการและแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน สำหรับเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา 3 ด้าน ได้แก่

    (1) การรับมือกับผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ (2) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบ (3) การพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการพัฒนาทุนมนุษย์ ทั้งนี้ ในระยะต่อไป คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป

กองนโยบายการคลัง และกองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3586, 3557 และ 3244

กรมบัญชีกลาง