ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์ เศรษฐกิจ การลงทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ไอที-เทคโนฯ รถยนต์ ท่องเที่ยว ต่างประเทศ รวดเร็วสดใหม่ทุกวัน

พาณิชย์ ย้ำสองมาตรการใหญ่ปี 2569 จะคุมเข้มนำเข้า'ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดการเผา' ร่วมแก้ฝุ่นพิษข้ามพรมแดนให้คนไทย และคุม 'ส่งออกสินค้า DUI

หมวดหมู่: พาณิชย์
วันที่สร้าง วันอาทิตย์, 28 กันยายน 2568 12:59
ฮิต: 93

ส่งออกสินค้าDUIพาณิชย์ ย้ำสองมาตรการใหญ่ปี 2569 จะคุมเข้มนำเข้า'ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดการเผา' ร่วมแก้ฝุ่นพิษข้ามพรมแดนให้คนไทย และคุม 'ส่งออกสินค้า DUI ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์'เสริมแกร่งความเชื่อมั่นนักลงทุนโลก

      นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2569 กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ เตรียมเดินหน้าบังคับใช้มาตรการใหม่และเป็นมาตรการสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ การออกมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผาเพื่อลดปัญหามลพิษ PM 2.5 ข้ามพรมแดน อันเป็นการร่วมปกป้องสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศ และการเริ่มใช้มาตรการใบอนุญาตส่งออก (Export License)

       สำหรับ สินค้าที่สามารถนำไปใช้เพื่อเป็นสินค้าปกติและใช้เป็นส่วนประกอบในอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) ได้ด้วย ที่เรียกว่า สินค้าสองทาง (Dual-Use Items : DUI) ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจสินค้าไทยในเวทีโลกและนักลงทุนต่างชาติว่าไทยยืนอยู่ข้างสันติภาพของโลก

คุมนำเข้า'ข้าวโพดปลอดการเผา' ลดฝุ่นพิษปกป้องสุขภาพคนไทยและหนุนการค้าเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

     นายดวงอาทิตย์ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะต้องมีหลักฐานเพื่อแสดงว่าสินค้าที่นำเข้ามาจากกระบวนการผลิตที่'ปลอดการเผา'เพื่อลดการก่อฝุ่นพิษ PM 2.5 ข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเพื่อสร้างมาตรฐานการค้าใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

     ทั้งนี้ เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ในประเทศผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ต้องนำเข้าปีละกว่า 1.3 – 2 ล้านตัน โดยส่วนใหญ่มีแหล่งนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่หลายพื้นที่ยังใช้วิธีเผาไร่หลังเก็บเกี่ยว ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ลอยข้ามมาไทย

    มาตรการใหม่จะกำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องขึ้นทะเบียนรายปีกับกรมฯ และในการนำเข้าจะต้องแสดงหลักฐานว่าสินค้ามาจากการผลิตแบบปลอดการเผาตามหลักฐานที่กำหนด โดยในช่วงแรกถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ของผู้นำเข้าไทย โดยมีเป้าหมายจะเริ่มตั้งแต่ ม.ค. 2569 ไปจนกระทั่ง พ.ร.บ อากาศสะอาด และกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้

     โดยจะให้ผู้นำเข้าสามารถรับรองตนเองได้ว่าสินค้านำเข้ามาจากแหล่งที่ไม่เผา หรือใช้เอกสารจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออกหรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเป็นผู้รับรองก็ได้ พร้อมกับจะต้องมีการบันทึกข้อมูลการเพาะปลูก และที่ตั้งแปลงปลูกของสินค้าที่นำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแปลงเพาะปลูกในกรณีที่เกิดเหตุอันควรสงสัย

     ทั้งนี้ ในระยะที่สอง จะเริ่มภายหลังจาก พ.ร.บ อากาศสะอาด และกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้เป็นต้นไปแล้ว จะใช้มาตรการที่มีความเข้มงวดมากขึ้น อาทิ การนำเข้าจะต้องใช้ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น จะต้องมีแผนที่แปลงการเพาะปลูกมาประกอบด้วย เป็นต้น

       นายดวงอาทิตย์ เพิ่มเติมว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ไทยใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมกับการนำเข้าสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นมาตรการที่ร่วมกันตกผลึกตั้งแต่ต้นปี 2568 ระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน เกษตรกร และนักลงทุนไทยในประเทศเพื่อนบ้าน โดยร่วมกันหาแนวทางที่มีประสิทธิภาพ ค่อยเป็นค่อยไป ตรวจสอบได้ ไม่เป็นอุปสรรคเกินไปต่อการค้าระหว่างประเทศ และบังคับใช้อย่างเท่าเทียมทั้งสินค้ามาจากต่างประเทศและในประเทศอันสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศทั้ง ASEAN และ WTO อย่างมีสมดุล

      อย่างไรก็ดี มาตรการนี้ อยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ควบคู่ไปพร้อมกับแนวทางการป้องกันการขาดแคลนข้าวโพดเพื่อใช้ผลิตอาหารสัตว์ในกรณีที่การนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหา ที่กำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ) อาทิ การขยายโควตานำเข้าในกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ในระดับที่เหมาะสม พร้อมลดภาษีลงเหลือ 0% เป็นต้น

     โดยที่ยังคงมาตรการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างเข้มงวดเช่นกัน เช่น มาตรการผู้นำเข้าต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือ ข้าวสาลีจากต่างประเทศ 1 ส่วน เป็นต้น

     สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญของการผลิตอาหารสัตว์ โดยในปี 2567/2568 ไทยมีผลผลิตในประเทศ ต่อ ความต้องการใช้ อยู่ที่ 4.558 ล้านตัน : 8.436 ล้านต้น และในปี 2568/2569 อยู่ที่ 4.739 ล้านตัน : 9.201 ล้านตัน ทำให้มีการนำเข้าในปี 2567 และ 2568 (ม.ค. มิ.ย.) อยู่ที่ 2.01 ล้านตัน และ 1.169 ล้านต้น ตามลำดับ โดยปี 2567 นำเข้าจาก เมียนมา (87%) ลาว (12.61%) กัมพูชา (0.39%) ในขณะที่ ประเทศที่ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สำคัญของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล และ อาร์เจนตินา

Licensing คุมเข้มสินค้าใช้ได้สองทาง DUI ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ ป้องกันการแพร่ขยายอาวุธ WMD

       นายดวงอาทิตย์ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งมาตรการที่ผู้ส่งออกไทยต้องรับทราบและเตรียมความพร้อม คือ การบังคับใช้มาตรการออกใบอนุญาต (Licensing) สำหรับการส่งออกและการส่งกลับสินค้าที่สามารถนำไปใช้เพื่อเป็นสินค้าปกติและจะสามารถใช้เป็นส่วนประกอบอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) หรือ สินค้าสองทาง (DUI) ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ (สินค้า DUI หมวด 0) เช่น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อุปกรณ์แขนกล และยูเรเนียมธรรมชาติ เป็นต้น โดยจะมีพิกัดศุลกากรที่เข้าข่ายต้องถูกควบคุมประมาณ 204 พิกัด (พิกัดระดับ 8 หลัก)

      ในการควบคุมตามมาตรการดังกล่าว ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบว่าสินค้าของตนเป็น DUI หมวด 0 หรือไม่ ผ่านระบบ e-Classification ของกรมฯ ที่ www.etcwmd.dft.go.th หากพบว่าเป็น DUI จะต้องยื่นขออนุญาตผ่านระบบ e- DUI Licensing ที่กรมการค้าต่างประเทศพัฒนาขี้นมาโดยเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออก

     พร้อมแนบเอกสารประกอบ เช่น หนังสือรับรองการใช้สุดท้าย และเอกสารการซื้อขายสินค้า ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะใช้ในการพิจารณาของกรมฯ คือ ผู้ซื้อและการใช้งานสุดท้ายของสินค้านั้นจะถูกใช้อย่างไร หรือ หลักการ KYC (Know Your Customer) นั่นเอง ทั้งนี้ ระบบ e-classification จะเริ่มเปิดระบบให้ผู้ประกอบการตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 และผู้ประกอบสามารถยื่นขอใบอนุญาตผ่านระบบ e- DUI Licensing ได้ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค. 2568

       นายดวงอาทิตย์ ได้กล่าวตอนท้ายว่า กรมฯ จะขยายกรอบการควบคุมอย่างแน่นอน ภายในไตรมาส 2 ปี 2569 โดยจะทำเป็นระยะๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้และปรับตัวไปจนกระทั่งควบคุมครบทั้ง 10 หมวดของสินค้า DUI

     โดยจะประเมินรายการสินค้าอีกครั้ง จากสถานการณ์ด้านการส่งออกของไทยควบคู่ไปกับสถานการณ์ด้านความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ กรมฯ ได้หารือเป็นระยะกับภาคเอกชนซึ่งได้ให้การสนับสนุนการดำเนินการนี้อย่างเต็มที่ และกรมฯ จะจัดสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับมาตรการให้แก่ภาคเอกชนในวันที่ 24 ก.ย. 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์

     มาตรการนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) 1540 และ พ.ร.บ. การควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 โดยสินค้าที่เข้าข่ายเป็นสินค้า DUI ในหมวด 0 นี้ ไทยมีการส่งออกในปี 2567 เป็นมูลค่า 4.37 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เป็นต้น

ก้าวสำคัญของไทยทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคง

      การเดินหน้าสองมาตรการใหม่ในปี 2569 เป็นก้าวสำคัญของไทยในสองมิติที่แตกต่างกันแต่มีความเชื่อมโยงต่ออนาคตของประเทศ รวมถึงสะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ เพราะมาตรการ'ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา'เป็นการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และยืนยันความเป็นผู้นำในการค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ขณะที่อีกด้านมาตรการ 'Licensing สินค้า DUI' เป็นการยกระดับมาตรฐานความมั่นคง สร้างภาพลักษณ์ของไทยต่อประชาคมโลกในการป้องกันการแพร่ขยาย WMD 

คุมเข้มสินค้า

พาณิชย์ คุมเข้มสินค้าใช้ได้สองทาง เตรียมเปิดให้ตรวจสอบ พร้อมขอใบอนุญาตส่งออก

    กรมการค้าต่างประเทศเดินหน้าคุมเข้มสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI) เพื่อป้องกันการนำไปใช้ประกอบเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ดีเดย์เปิดให้ตรวจสอบสินค้าหมวด 0 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อุปกรณ์แขนกล และยูเรเนียมธรรมชาติ จำนวน 41 สินค้า มูลค่าส่งออกปี 67 จำนวน 4.37 แสนล้าน ตั้งแต่ 1 ต.ค.68 ก่อนยื่นขอใบอนุญาตได้ ธ.ค.68 จากนั้นจะทยอยให้ครบทั้ง 10 หมวด มูลค่าส่งออกรวม 3.51 ล้านล้านต่อไป เล็งขยับหมวดสินค้าที่เสี่ยงนำไปใช้ในสงครามมาให้ตรวจสอบก่อน

    นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมจะเริ่มใช้มาตรการใบอนุญาตส่งออก (Export License) สำหรับสินค้าที่สามารถนำไปใช้เพื่อเป็นสินค้าปกติและใช้เป็นส่วนประกอบในอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) หรือที่เรียกกันว่าสินค้าสองทาง (Dual-Use Items : DUI) ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจสินค้าไทยในเวทีโลกและนักลงทุนต่างชาติว่าไทยยืนอยู่ข้างสันติภาพของโลก โดยมีสินค้าที่อยู่ในข่ายควบคุมจำนวน 10 หมวด (หมวด 0-9) รวมจำนวน 1,775 สินค้า คิดเป็นมูลค่าส่งออกในปี 2567 ที่ผ่านมา จำนวน 3.51 ล้านล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดส่งออกรวมที่มีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท

    สำหรับ สินค้า DUI ทั้ง 10 หมวด ได้แก่ หมวด 0 จำนวน 41 สินค้า อาทิ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อุปกรณ์แขนกล และยูเรเนียมธรรมชาติ เป็นต้น หมวด 1 จำนวน 483 สินค้า อาทิ วัสดุพิเศษและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง หมวด 2 จำนวน 218 สินค้า อาทิ การแปรรูปวัสดุ หมวด 3 จำนวน 237 สินค้า อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ หมวด 4 จำนวน 21 สินค้า อาทิ คอมพิวเตอร์ หมวด 5 จำนวน 96 สินค้า อาทิ โทรคมนาคมและการรักษาความปลอดภัยข้อมูล หมวด 6 จำนวน 353 สินค้า อาทิ เซนเซอร์และเลเซอร์ หมวด 7 จำนวน 93 สินค้า อาทิ ระบบนำร่องและระบบอิเล็กทรอนิกส์การบิน หมวด 8 จำนวน 58 สินค้า อาทิ ยานพาหนะและอุปกรณ์ทางทะเล หมวด 9 จำนวน 171 สินค้า อาทิ การบิน อวกาศและการขับดัน

     ทั้งนี้ กรมจะนำร่องบังคับใช้มาตรการออกใบอนุญาตสำหรับการส่งออกและการส่งกลับสินค้า DUI หมวด 0 ก่อน โดยผู้ส่งออกต้องตรวจสอบว่าสินค้าของตนเป็น DUI หมวด 0 หรือไม่ ผ่านระบบ e-Classification ของกรมที่ www.etcwmd.dft.go.th หากพบว่าเป็น DUI จะต้องยื่นขออนุญาตผ่านระบบ e-DUI Licensing ที่กรมพัฒนาขี้นมาโดยเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออก

    พร้อมแนบเอกสารประกอบ เช่น หนังสือรับรองการใช้สุดท้าย และเอกสารการซื้อขายสินค้า ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะใช้ในการพิจารณาของกรม คือ ผู้ซื้อและการใช้งานสุดท้ายของสินค้านั้นจะถูกใช้อย่างไร หรือหลักการ KYC (Know Your Customer) นั่นเอง โดยระบบ e-classification จะเริ่มเปิดระบบให้ผู้ประกอบการตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 และผู้ประกอบสามารถยื่นขอใบอนุญาตผ่านระบบ e-DUI Licensing ได้ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.2568

     ขณะเดียวกัน กรมจะขยายกรอบการควบคุม โดยจะทำเป็นระยะ ๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้และปรับตัวไปจนกระทั่งควบคุมครบทั้ง 10 หมวดของสินค้า DUI ภายในไตรมาส 2 ปี 2569 โดยจะประเมินรายการสินค้าอีกครั้ง จากสถานการณ์ด้านการส่งออกของไทยควบคู่ไปกับสถานการณ์ด้านความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะนำการตรวจสอบสินค้าหมวด 7 8 และ 9 มาบังคับใช้ก่อน เพราะเป็นสินค้าที่หลายประเทศมีความกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในการทำสงคราม

    มาตรการดังกล่าว เป็นการดำเนินการภายใต้ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) 1540 และ พ.ร.บ.การควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ.2562 โดยสินค้าที่เข้าข่ายเป็นสินค้า DUI ในหมวด 0 ที่ได้นำร่องนั้น ไทยมีการส่งออกในปี 2567 เป็นมูลค่า 4.37 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เป็นต้น

 

Click Donate Support Web 

MTI 720x100NHA Baner

PTG 720x100Banner GPF720x100 PXTOA 720x100EXIM One 720x90 C JMTL 720x100SME720x100 2024CKPower 720x100

QIC 720x100วิริยะ 720x100aia 720 x100BKI 720 x 100ธกส 720x100ใจฟู720x100pxAXA 720 x100

กรมบัญชีกลาง