เภสัชกรอภัยภูเบศร เตือนผู้สูงวัยเข้าใจผิดกิน'กระเทียม'เป็นยาอายุวัฒนะ ระวัง! ฤทธิ์ร้อนมีผลเสียเกิดลมมาก แนะกิน 'อบเชย'ช่วยย่อยอาหารได้ กระเทียมช่วยแก้ความดัน-ไขมันสูง เพียงวันละ 1 ช้อนชา ชี้ชนิดแคปซูลไร้ประโยชน์

        เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาล (รพ.) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี กล่าวถึงประชาชนที่หันมาสนใจสูตรอาหาร หรือพืชผักสมุนไพรที่เป็นยาอายุวัฒนะ และมีบางกลุ่มนิยมซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า เรื่องนี้ต้องระวัง เนื่องจากปัจจุบันมีการโฆษณาชวนเชื่อกันมาก ดังนั้น การจะบริโภคสิ่งใดต้องรู้เท่าทันสิ่งนั้นด้วย อันดับแรกต้องเข้าใจคำว่า ยาอายุวัฒนะ เนื่องจากองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทยนั้นมีหลายคำจำกัดความ แต่หลักๆ ของยาอายุวัฒนะ คือ กินได้ นอนหลับ และระบายดี หากอาหารชนิดใดมี 3 สิ่งครบ จะทำให้ระบบการทำงานร่างกายเป็นไปตามปกติ ก็ถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะได้ โดยหลักแพทย์แผนไทยการกินจะยึดตามธาตุเจ้าเรือน และตามอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจหลงเชื่อคำโฆษณาต่างๆ ได้ง่าย

"ที่ผ่านมา ยาอายุวัฒนะมีหลายสูตร อย่างพวกพืชสมุนไพร หรือผักที่หาได้ตามครัวเรือนที่นิยม คือ กระเทียม ซึ่งคนโบราณมองว่ามีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ทำให้ระบบระบายดีขึ้น แต่ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 70-80 ปี ต้องระวังในการบริโภค เนื่องจากผู้สูงอายุวัยนี้จะมีธาตุเจ้าเรือนเป็นลม ซึ่งจะมีความแห้งในตัว หากยิ่งกินพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนมากๆ ก็ยิ่งทำให้มีลมมากด้วย ดังนั้น หากจะกินอะไรที่ช่วยย่อยหรือขับลม ควรจะเป็นอบเชย เพราะมีฤทธิ์ร้อนแต่น้อยกว่ากระเทียม ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้สูงอายุจะกินกระเทียมไม่ได้เลย เพียงแต่ต้องระวังปริมาณ เพราะหลายคนนิยมกินแทบทุกมื้อ" ภญ.ผกากรองกล่าว
    ภญ.ผกากรอง กล่าวว่า กระเทียมนั้นมีสรรพคุณในการลดไขมัน ลดความดัน เพียงแต่ต้องกินอย่างพอเหมาะและเหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคความดันโลหิต ต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันที่รักษาอยู่ด้วย โดยวิธีกินนั้น จะต้องเป็นกระเทียมสดนำมาบดละเอียดและกินในประมาณ 1 ช้อนชาหลังอาหาร มื้อเดียวก็พอ และช่วง 3 เดือนแรก ควรไปตรวจค่าตับและไตด้วยว่าเป็นอย่างไร ที่สำคัญต้องหมั่นสังเกตอาการตัวเองด้วยว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ระบบขับถ่ายมากเกินไปหรืออย่างไร ต้องหมั่นสังเกตตัวเองดีที่สุด ส่วนคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยหากจะกินกระเทียม ควรเน้นปรุงเป็นอาหาร โดยเฉพาะพวกอาหารเนื้อสัตว์ หากมีกระเทียมจะทำให้ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน การย่อยอาหารต้องกินอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะผัก ผลไม้ หรือแม้แต่การดื่มน้ำระหว่างอาหารก็ช่วยย่อยได้เช่นกัน
      ผู้สื่อข่าวถามว่า ควรซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกระเทียมมาบริโภคดีหรือไม่ ภญ.ผกากรองกล่าวว่า ได้ แต่ก็ต้องเลือกให้ดี อย่างผลิตภัณฑ์แปรรูปเป็นน้ำมันกระเทียมจะมีคุณค่าทางสารอาหาร เพราะประโยชน์จะอยู่ในน้ำมันกระเทียม แต่หากเป็นจำพวกอบแห้งจะไม่ค่อยมีสารอาหารสำคัญ แต่การกินอะไรก็ตาม ไม่ควรกินเพียงอย่างเดียวทุกวัน
     วันเดียวกัน ที่อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไปร่วมงานมหกรรมสุขภาพโรคไม่ติดต่อ NCD Forum 2015 บูรณาการ สานพลัง ลดเสี่ยง ลดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานด้านโรคไม่ติดต่อ เสริมความรู้ที่ทันสมัยเพื่อนำมาใช้ในการขับเคลื่อนการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ
     นพ.รัชตะ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือเอ็นซีดี (NCDs) ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก เกิดจากวิถีชีวิตในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีเทคโนโลยีต่างๆ คอยอำนวยความสะดวก เช่น รีโมต บันไดเลื่อน ลิฟต์ มือถือ มีอาหารที่สั่งตรงถึงบ้าน หรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ตึงเครียด สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง กินอาหารรสหวาน มัน เค็ม เกินสะสมจนเกิดภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ตามมาด้วยภาวะไขมันผิดปกติ น้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และหากยังมีการดำเนินวิถีชีวิตเช่นเดิม ก็จะเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ หลอดเลือดสมอง มะเร็ง ตามมา
     "ปัญหาคือ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหลายคนไม่ดูแลสุขภาพ ที่สำคัญยังไปหลงเชื่อข้อมูลจากการโฆษณา หรือการแชร์ผ่านโซเชียลถึงสูตรยา สูตรสมุนไพร หรือแม้แต่สูตรอาหารว่าสามารถรักษาโรคเรื้อรัง โรคมะเร็งได้ หนำซ้ำยังหยุดกินยา ซึ่งถือว่าอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม หากมีข้อมูลใดๆ และสงสัยว่าจริงหรือไม่สามารถสอบถามไปที่ สธ. ล่าสุด ได้มอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กำชับอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ให้ความรู้ประชาชนถึงเรื่องดังกล่าว รวมทั้งการป้องกันโรค" นพ.รัชตะกล่าว
มติชนออนไลน์ :(กรอบตจว.)

บ้านเมือง : วันที่ 7 ส.ค. ที่ศาลทหารกรุงเทพ นายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง อายุ 48 ปี เดินทางมาพร้อมเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ มายังศาลทหารกรุงเทพ โดยมี น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความเดินทางมาตามคำนัดสอบปากคำให้การ ในคดีที่นายพงษ์ศักดิ์ เป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 และถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ใน วันที่ 30 ธ.ค.57

      อย่างไรก็ตาม ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนี้เป็นการลับ เพราะเนื้อหาในคำฟ้องไม่สมควรให้บุคคลภายนอกเข้าฟัง อาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นคดีที่กระทบต่อความมั่นคง ทั้งนี้เมื่อศาลอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยแถลงรับสารภาพ ศาลจึงพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 จำนวน 6 กรรม ลงโทษจำคุกกรรมละ 10 ปี รวมทั้งหมด 60 ปี เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 30 ปี

     โดยในคำฟ้องของอัยการทหารคดีนี้ระบุว่า นายพงษ์ศักดิ์ เป็นผู้ใช้เฟซบุ๊ค ชื่อ Sam Parr โพสต์ข้อความ พร้อมภาพพระบรมฉายาลักษณ์ เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ทั้งหมด 6 ครั้ง ซึ่ง 4 ครั้งเป็นการโพสต์ในเดือนกันยายน 2556 และอีก 2 ครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2557

      สำหรับ นายพงษ์ศักดิ์ เป็นชาว จ.กาญจนบุรี มีอาชีพตัวแทนบริษัทนำเที่ยว เคยมีชื่อในคำสั่งเรียกบุคคลรายงานตัวของ คสช. ฉบับที่ 58/2557 แต่ไม่ได้ไปรายงานตัวตามกำหนด ก่อนหน้าคดีนี้พงษ์ศักดิ์เคยถูกดำเนินคดีฐานไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. มาแล้ว ซึ่งศาลทหารพิพากษาให้ จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี

     ทั้งนี้ กฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี"

                    

TISCO มั่นใจรายได้-กำไร ครึ่งหลังปี 58 โตใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก  คาด NPL สิ้นปีนี้จะไม่เกินจากระดับปัจจุบันที่ 2.9% ชี้แม้สินเชื่อชะลอตัวแต่มีรายได้จากเป็นนายหน้าขายประกัน-ธุรกิจจัดการกองทุนช่วยพยุง ประเมินตลาดรถยนต์จะฟื้นตัวในปี 60 หลังที่ผ่านมาเจอพิษโครงการรถคันแรกเล่นงาน

      นายชาตรี จันทรงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายควบคุมการเงินและบริหารความเสี่ยง ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ธนาคารคาดว่ารายได้จะเติบโตใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่เติบโต 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกับกำไรที่จะเติบโตได้ใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่ 14% หรือที่ 2,196 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นเดียวกัน

     สำหรับ การเติบโตของสินเชื่อรวมปีนี้ ธนาคารมองว่าจะติดลบไม่เกิน 10% แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะติดลบไปแล้ว 5% เนื่องจากเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้อย่างช้าๆ นอกจากนี้ธนาคารมีแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ในปีนี้ธนาคารจะควบคุมไม่ให้เกินที่ระดับ 2.9% ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ 2.9%

     อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรที่เติบโตได้ แม้สินเชื่อจะชะลอตัว เนื่องจากมีรายได้จากเป็นนายหน้าขายประกันผ่านธนาคาร และรายได้จากการบริหารธุรกิจจัดการกองทุน ที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงก็ตาม

       “ปัจจุบันกองทุนฯยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังอัตราดอกเบี้ยปรับลดต่ำลง ส่งผลให้มีการโยกย้ายเงินฝากมายังการลงทุนในกองทุนฯมากขึ้น”นายชาตรี กล่าว

      ส่วนภาพรวมตลาดรถยนต์นั้น ธนาคารประเมินว่าตลาดรถยนต์จะเริ่มกลับมาขยายตัวได้ในปี 60-61 หลังจากได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรกของรัฐบาล ส่งผลให้ปัจจุบันความต้องการสินเชื่อรถยนต์ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความต้องการเปลี่ยนรถยนต์จะต้องใช้ระยะเวลา 5-6 ปี ดังนั้นจึงมองว่าภาพรวมตลาดรถยนต์จะเริ่มฟื้นตัวในปีดังกล่าว

     “ในช่วงปี 54-55 ยอดขายรถพุ่งทะลุไปถึง 1.3-1.4 ล้านคัน ซึ่งสูงกว่าช่วงปกติที่ 800,000 คัน ดังนั้นส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ถูกใช้ไปก่อนหน้าถึง 700,000 คัน ส่งผลให้ในช่วงปีนี้และปีหน้าสินเชื่อรถยนต์จึงยังชะลอตัวลง แต่ไม่ได้ผิดปกติอะไร เนื่องจากความต้องการได้ถูกใช้ไปแล้ว และคนที่จะต้องซื้อรถใหม่ก็ต้องใช้ระยะเวลาถึง 5-6 ปี”นายชาตรี กล่าว

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (TLT หรือ ผู้ออกหุ้นกู้) ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทภายใต้โครงการ Medium-term Debenture ที่ระดับ AAA พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันภายใต้โครงการ Medium-term Debenture ในวงเงินรวม 60,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ AAA และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ระยะสั้นมีการค้ำประกันของบริษัทภายใต้โครงการ Short-term Debenture ครั้งที่ 2/2556 และครั้งที่ 2/2557 ที่ระดับ ‘T1+’ด้วย โดยแนวโน้มยังคง’Stable” หรือ 'คงที่'

     หุ้นกู้ทั้งหมดของบริษัทได้รับการค้ำประกันโดย Toyota Motor Finance (Netherlands) B.V. (TMF หรือ ผู้ค้ำประกัน) โดย TMF เป็นบริษัทลูกของ Toyota Financial Service Corporation (TFS) ที่ถือหุ้น 100% โดย Toyota Motor Corporation (TMC) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกลุ่มโตโยต้า บริษัททั้ง 3 แห่งคือ TMF TFS และ TMC ได้รับการจัดอันดับเครดิตระดับ ‘AA-‘ จาก Standard & Poor’s และระดับ 'Aa3'จาก Moody’s Investors Service (Moody’s) รวมทั้งได้รับการจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะสั้นที่ระดับ ‘A-1+’ จาก Standard & Poor’s และ 'P-1' จาก Moody’s ด้วย อันดับเครดิตหุ้นกู้ระยะสั้นและระยะปานกลางของ TLT สะท้อนถึงการค้ำประกันแบบไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้โดย TMF ซึ่งอันดับเครดิตของ TMF อยู่บนพื้นฐานของสถานะอันดับเครดิตของ TMC ภายใต้โครงสร้างการค้ำประกันดังกล่าว TMC ได้ทำสัญญาให้การสนับสนุนสินเชื่อ (Credit Support Agreement - CSA) กับ TFS ในขณะเดียวกัน TFS ก็ได้ทำสัญญา CSA กับ TMF ด้วยเช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขของสัญญา CSA ดังกล่าว TMC จะทำหน้าที่รักษาสภาพคล่องทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เพียงพอสำหรับรองรับภาระหนี้หุ้นกู้ หรือพันธบัตร และตราสารทางการเงิน (Commercial Paper) อื่น ๆ ของบริษัทลูกซึ่งได้แก่ TFS และ TMF นอกจากนี้ TMC จะเป็นผู้จัดหาสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอสำหรับเงื่อนไขการค้ำประกันของ TMF ด้วย ทั้งนี้ การค้ำประกันของ TMF บังคับใช้ภายใต้กฎหมายของประเทศเนเธอร์แลนด์โดยเป็นการค้ำประกันแบบไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ ซึ่งผู้ค้ำประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระเงินตามกำหนดเวลาของหุ้นกู้แต่ละชุดที่ออกให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ของ TLT ทั้งนี้ ภาระการค้ำประกันของ TMF มีสถานะทางกฎหมายอยู่ในระดับเดียวกับตราสารหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่น ๆ ของผู้ค้ำประกันที่ออกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือเพิกถอนโดยปราศจากการยินยอมทั้งจากตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้และผู้ค้ำประกัน

 

      อย่างไรก็ตาม ผู้ค้ำประกันไม่มีภาระในการชำระหนี้ใดใดแทนในกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถชำระหนี้ด้วยเหตุอันเกิดจากการเข้าแทรกแซงหรือการกระทำต่าง ๆ โดยองค์กรใดใดของรัฐบาลไทย ดังนี้ (1) ชะงักการชำระเงินเนื่องจากผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถโอนเงินไปให้นายทะเบียน หรือผู้ถือหุ้นกู้ หรือไม่สามารถแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นสกุลเงินที่ต้องชำระตามหุ้นกู้ (2) ทำให้ต้องมีการโอนการถือหุ้นข้างมากหรือการควบคุมผู้ออกหุ้นกู้ไปยังองค์กรอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกของกลุ่มโตโยต้า (3) การเวนคืนหรือการโอนซึ่งทรัพย์สินของผู้ออกหุ้นกู้ให้เป็นของรัฐซึ่งมีมูลค่ารวมอย่างน้อย 10% ของมูลค่าสุทธิของสินเชื่อเช่าซื้อสุทธิของผู้ออกหุ้นกู้และบริษัทลูกของผู้ออกหุ้นกู้ และ (4) การเวนคืนหรือการโอนทรัพย์สินให้เป็นของรัฐอันมีผลทำให้ผู้ออกหุ้นกู้และบริษัทลูกของผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเห็นว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมีน้อยมาก

     แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’สะท้อนความน่าเชื่อถือของบริษัทแม่ลำดับสุดท้ายของ TLT คือ TMC โดยอันดับเครดิตองค์กรในปัจจุบันของ TMC ในระบบ International Scale ที่ระดับ’AA-/Stable’ ซึ่งจัดโดย Standard & Poor’s และ “Aa3/Stable” โดย Moody’s สะท้อนสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งของ TMC เมื่อเทียบกับบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยที่ได้รับอันดับเครดิตที่ระดับ “AAA” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งเป็นอันดับเครดิตที่สูงที่สุดในระบบ National Scale

 

      อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตสำหรับหุ้นกู้มีการค้ำประกันของ TLT อาจมีการปรับเปลี่ยนหากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลให้อันดับเครดิตของ TMC ในระบบ International Scale มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ หากยึดตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งแล้ว การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตในระบบ International Scale 1 ระดับไม่จำเป็นต้องส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตในระบบ National Scale 1 ระดับเสมอไป

 

     TMC รายงานยอดขายรวมของรถยนต์ที่จำนวน 8.972 ล้านคันในรอบปีบัญชี 2558 (เมษายน 2557 - มีนาคม 2558) ซึ่งลดลงจากระดับ 9.116 ล้านคันในรอบปีบัญชี 2557 บริษัทมียอดขาย 2.114 ล้านคันในช่วงไตรมาสแรกของรอบปีบัญชี 2559 เทียบกับยอดขาย 2.241 ล้านคันในช่วงเวลาเดียวกันของรอบปีบัญชี 2558 แม้ว่ายอดขายจะลดลง แต่ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนตั้งแต่ปลายปี 2555 ส่งผลให้กำไรสุทธิของ TMC ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2,173 พันล้านเยนในรอบปีบัญชี 2558 จาก 1,823 พันล้านเยนในรอบปีบัญชี 2557 กำไรสุทธิยังคงปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 646 พันล้านเยนในช่วงไตรมาสแรกของรอบปีบัญชี 2559 หรือเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของรอบปีบัญชี 2558 บริษัทยังคงมีสถานะทางการตลาดและการแข่งขันที่เข้มแข็งซึ่งได้รับแรงหนุนจากการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตลาดที่กระจายตัวกว้างขวาง ตลอดจนความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และความเสี่ยงทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ

 

บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (TLT)

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

หุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงิน 60,000 ล้านบาท ในโครงการ Medium-term Debenture:

- TLT158A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 4,750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558           AAA

- TLT15NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,115 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558          AAA

- TLT162A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559           AAA

- TLT164A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559           AAA

- TLT165A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559              AAA

- TLT168A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,050 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559           AAA

- TLT16NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,185 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559          AAA

- TLT174A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560           AAA

- TLT175A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,900 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560           AAA

- TLT175B: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560           AAA

- TLT176A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560           AAA

- TLT184B: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561           AAA

- TLT188B: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 3,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561           AAA

- TLT198B: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562           AAA

- หุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2563            AAA

หุ้นกู้ระยะสั้นมีการค้ำประกันในวงเงิน 40,000 ล้านบาท ในโครงการ Short-term Debenture ครั้งที่ 2/2556      T1+

หุ้นกู้ระยะสั้นมีการค้ำประกันในวงเงิน 80,000 ล้านบาท ในโครงการ Short-term Debenture ครั้งที่ 2/2557      T1+

แนวโน้มอันดับเครดิต:               Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com

   ติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

   บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

    ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

ไนท์แฟรงค์ เผยธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า ณ ครึ่งปีแรก พ.ศ. 2558 อุปทานโรงงานสำเร็จรูปให้เช่ามีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,607,014 ตารางเมตร โดยมีอุปทานใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 58,927 ตารางเมตร มีพื้นที่โรงงานถูกเช่าไปแล้วประมาณ 2,010,098 ตารางเมตร คิดเป็นอัตราการเช่าที่ ร้อยละ 71.1 อัตราการเช่าลดลงจาก ร้อยละ 77.6 จาก กลาง ปี พ.ศ. 2557

  นางสาวริษิณี สาริกบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าอัตราเช่าลดลง แต่พบว่ามีพื้นที่ อยู่ 3 บริเวณที่มีจำนวนพื้นที่เช่าโรงงานเพิ่มขึ้น กล่าวคือ บริเวณอยุธยา สมุทรปราการ และ ชลบุรี โดยบริเวณอยุธยามีพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปถูกเช่าเพิ่มขึ้น 16,643 ตารางเมตร ส่วนสมุทรปราการมีพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปถูกเช่าเพิ่ม 12,774 ตารางเมตร และ บริเวณชลบุรีมีพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปถูกเช่าเพิ่ม 12,631 ตารางเมตร ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณทั้งสามแห่ง เป็นบริเวณที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพมหานคร อีกทั้ง แต่ละบริเวณยังเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้โรงงานซึ่งเป็นแหล่งผลิต กล่าวคือ สมุทรปราการ และ ชลบุรี มีนิคมอุตสาหกรรมต่างๆอยู่มากมาย และ ยังใกล้กับท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ในส่วนอยุธยา ยังเป็นบริเวณที่มีโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้โรงงานขนาดเล็กที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนย่อย หรือ spare part สนใจที่จะเลือกเช่าโรงงานในบริเวณดังกล่าวเนื่องจากสะดวกในการส่งสินค้าให้กับโรงงานขนาดใหญ่เพื่อทำการผลิตต่อไป บริเวณที่มีพื้นที่ว่างโรงงานสำเร็จรูปสูงที่สุด คือ จังหวัดระยองมีพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปว่างถึง 197,499 ตารางเมตร รองลงมาได้แก่ บริเวณจังหวัด อยุธยา มีพื้นที่ว่างราว 167,762 ตารางเมตร ส่วนจังหวัดชลบุรี และสมุทรปราการมีพื้นที่ว่างโรงงานสำเร็จรูปเพียง 41,457 ตารางเมตร และ39,661 ตารางเมตร ตามลำดับ 

  ในส่วนของอุปทานใหม่โรงงานสำเร็จรูป ที่เพิ่มขึ้น ในระยะเวลา 6 เดือนแรกของปีพ.ศ. 2558 มีพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นราว 53,968  ตารางเมตร โดยทำเลที่มีอุปทานใหม่เพิ่มขึ้นสูงที่สุด คือ บริเวณสมุทรปราการ กล่าวคือ มีอุปทานใหม่เพิ่มขึ้นราว 29,058 ตารางเมตร รองลงมาได้แก่บริเวณสระบุรี และ ปราจีนบุรี

  ในส่วนของราคาค่าเช่าโรงงานสำเร็จรูปพบว่า บริเวณที่มีราคาค่าเช่าโรงงานสำเร็จรูปค่อนข้างสูง ประกอบด้วยบริเวณจังหวัด สมุทรปราการ ชลบุรี และ ฉะเชิงเทรา โดยมีราคาค่าเช่าอยู่ระหว่าง 230-250 บาท ต่อ ตารางเมตร หากเป็นโรงงานสำเร็จรูปที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ หากโรงงานสำเร็จรูปในจังหวัดดังกล่าว แต่มิได้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมักมีราคาค่าเช่าที่ต่ำกว่าราคาดังกล่าว คือ อยู่ที่ราว 150-170 บาท ต่อ ตารางเมตร แต่หากโรงงานสำเร็จรูปตั้งอยู่นอกนิคมแต่อยู่ในพื้นที่สีม่วง มักมีราคาค่าเช่าที่สูงกว่า คือ ราว 200 บาท ต่อ ตารางเมตร

  นางสาวริษิณี ได้กล่าวถึงธุรกิจคลังสินค้าให้เช่า ณ กลางปีพ.ศ. 2558 ว่า จำนวนพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมมีทั้งสิ้น 3,468,530 ตารางเมตร โดยมีอุปทานใหม่เพิ่มขึ้นราว 101,327 ตารางเมตร มีพื้นที่คลังสินค้า 2,713,114 ตารางเมตร คิดเป็นอัตราครอบครองการเช่าที่ ร้อยละ 78.2 อัตราการเช่าลดลงจาก ร้อยละ 79.8 ณ ปลายปี พ.ศ. 2557 แต่จำนวนพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นจากปลายปีพ.ศ. 2557 ราว 21,199 ตารางเมตร ส่วนการที่อัตราเช่าลดลงอันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของคลังสินค้าในบริเวณจังหวัดชลบุรีและอยุธยา ที่มีพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มขึ้นสูงถึง 83,050 ตารางเมตร และ 30,000 ตารางเมตร ตามลำดับ

   นางสาวริษิณี ให้ความคิดเห็นว่า บริเวณจังหวัดสมุทรปราการเป็นบริเวณที่น่าสนใจสำหรับคลังสินค้าให้เช่า เนื่องจาก อัตราการเช่าของคลังสินค้าในจังหวัดสมุทรปราการมีอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ. 2557 ซึ่งอยู่ที่ ร้อยละ 78 มาเป็นอัตราเช่าที่ ร้อยละ 83.5 ณ กลางปีพ.ศ. 2558 และ มีพื้นที่เช่าคลังสินค้าถูกเช่าใหม่ราว 47,249.5 ตารางเมตร ในระยะเวลา 6 เดือนแรกของปีพ.ศ. 2558 โดย ณ กลางปีพ.ศ. 2558 มีอุปทานคลังสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นในจังหวัดสมุทรปราการ ราว 18,277 ตารางเมตร

   ส่วนจังหวัดชลบุรี มีพื้นที่คลังสินค้าถูกเช่าใหม่ราว 22,090 ตารางเมตร หากแต่อัตราเช่าลดลงจากปลายปีพ.ศ. 2557 ซึ่งอยู่ในอัตราร้อยละ 67 มาเป็นอัตราเช่าที่ร้อยละ 63.1 ณ กลางปีพ.ศ. 2558 ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนอุปทานที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในจังหวัดชลบุรี ในส่วนจังหวัดอยุธยา พบว่าอัตราเช่าลดลงอย่างมาก จากเดิมปีพ.ศ. 2557 อยู่ในอัตราร้อยละ 84.9 ลดลงมาอยู่ที่อัตราร้อยละ 74.9

   ในส่วนของระดับราคาค่าเช่าคลังสินค้า บริเวณทางตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้แก่บริเวณลาดกระบัง ถนนบางนา-ตราด และรวมถึงบริเวณจังหวัดสมุทรปราการ ระดับราคาค่าเช่าคลังสินค้ามีระดับราคาที่สูงที่สุดอยู่ที่ราว 162.7-169.7 บาท ต่อ ตารางเมตร ส่วนบริเวณอีสเทิร์นซีบอร์ด อันได้แก่บริเวณชลบุรี และ ระยอง มีระดับราคาค่าเช่าเฉลี่ยต่ำที่สุด กล่าวคือ ราว 148.9 บาทต่อ ตารางเมตร อย่างไรก็ดี ระดับราคาค่าเช่าคลังสินค้าค่อนข้างนิ่ง ราคาไม่ค่อยปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากพื้นที่คลังสินค้าที่เพิ่มเข้ามาในอุปทานค่อนข้างมากส่งผลให้เกิดภาวะการแข่งขันในตลาดคลังสินค้า

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!